P.I.E. Premium Modern Truck

 10 สาเหตุยอดฮิตของอุบัติเหตุของไทย   วันนี้ทาง  P.I.E Premium Modern Truck   ก็จะพาไปดูทั้ง  10  สาเหตุของการเกิด อุบัติเหตุ ทางถนนหลักของไทยว่ามักจะเกิดมาจากสาเหตุหลักในเรื่องของการมีวินัยจากบุคคลต่ำบนท้องถนน ไม่ว่าจะ การเมาแล้วขับ การขับขี่รถด้วยความเร็วเกินกำหนด การขับรถตัดหน้า/ปาดหน้ากันอย่างกระชั้นชิด การหลับใน การขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร การขับขี่แซงรถในที่คับขัน การใช้โทรศัพท์ในขณะขับขี่ การบรรทุกสิ่งของด้วนน้ำหนักที่เกินกำหนด การมีสิ่งของกีดขวางอยู่บนถนน และทัศนวิสัยไม่ดีจากสภาพอากาศ    และรู้หรือไม่ว่าด้วย  10  สาเหตุนี้นี่แหละ ที่ส่งผลให้ประเทศไทยได้มีการถูกจัดอันดับจากองค์การอนามัยโลก ( WHO)  จากข้อมูลที่มีการปรากฎในปี 2561 ว่าให้เป็นประเทศที่มีอัตราของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนที่มีอันดับสูงสุดนำโด่งมาเป็นอันดับ 1 ของเอเชียและอาเซียน หรือสูงเป็นอันดับ 9 ของโลกเลยทีเดียว  โดยจะคิดรวมได้เป็นปีละกว่า  22,491  ราย หรือคิดเฉลี่ยเป็น  32.7  คนต่อประชากร  1  แสนคน และโดยส่วนใหญ่แล้วจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเป็นจำนวนอย่างมาก ในช่วงของเทศกาลต่าง ๆ หรือว่าช่วงวันหยุดยาว สุดสัปดาห์ อย่า

       ในยามเวลาที่ต้องขับรถเดินทางข้ามไปต่างจังหวัดไปพักผ่อนหรือทำธุระต่าง ๆ โดยการที่ขับรถออกนอกจากจังหวัดด้วยเส้นทางหลวง  และอย่างแน่นอนเลยว่าผู้ขับขี่รถทุกคนต้องเคยมีโอกาสที่เคยได้ประสบพบเจอกับรถบรรทุกได้ร่วมขับร่วมท้องถนนอยู่บ้าง ซึ่งรถบรรทุกเป็นเหมือนพี่ใหญ่สำหรับบนท้องถนน และอย่างที่ได้เคยพูดในบทความก่อนหน้ากันไปบ้างแล้ว ว่ารถบรรทุกหรือรถประเภทที่มีขนาดใหญ่นั้น มักจะมีขนาดที่ใหญ่และความสูงมากกว่ารถประเภทอื่นอยู่ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้รถบรรทุกมักจะมีข้อกัดในด้านของการมองเห็น หรือมีจุดบอด / จุดอับสายตามากกว่ารถประเภทอื่น ๆ อยู่ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยสำหรับการเดินทางร่วมการใช้รถใช้ถนนไปกับรถบรรทุก เราจึงจำเป็นต้องมีวิธีการ ขับรถใกล้รถบรรทุก ให้ปลอดภัยง่าย ๆ  แค่ 4 วิธี ก็คือ 1.  การไม่ขับรถเข้าไปอยู่ที่จุดอับสายตา หรือจุดบอดของรถบรรทุก ที่จะมีอยู่  4  จุดด้วยกัน นั่นก็คือ ทางด้านหน้า ทางด้านขวา ด้านหลังและด้านซ้ายของรถบรรทุก และทางที่ดีก็ ควรรักษาระยะห่างประมาณ 3 ถึง 4 ช่วงคันรถหรือว่าประมาณ 80 ถึง 100 เมตร และก็ยังจะช่วยลดปัญหาหินกรวดกระเด็นใส่กระจกหน้ารถ ได้อีก 2.  การ ไม่

 กิจกรรมที่ทำให้เสียสมาธิระหว่างขับรถ    รู้หรือไม่ว่ากิจกรรมบางกิจกรรมที่ทำในขณะที่มีการขับขี่รถอยู่   ไม่ว่าจะเป็น การคุยโทรศัพท์ในขณะที่กำลังขับรถ   การพิมพ์ข้อความในขณะขับรถ   การอุ้มเด็กเล็กนั่งบนตักในขณะขับรถ   การขับรถไป รับประทานอาหารไปด้วย   การดูคลิป  Video  หรือ  TV  บนรถในขณะขับรถ  หรือ การนำสัตว์เลี้ยงขึ้นร่วมเดินทาง เป็นต้น กิจกรรมเหล่านี้มักจะทำให้ เสียสมาธิ ในการใช้สมาธิและต้องมีสติที่จดจ่ออยู่กับการขับขี่  และยัง มีความเสี่ยงจะเกิดอุบัติเหตุมากกว่าปกติ รวมถึงปฏิกิริยาตอบสนองช้าลงได้กว่าปกติอีกด้วย  เนื่องมาจากว่าจะต้องทั้งการใช้สายตา เพื่อมองไปยังเส้นทางที่อยู่ข้างหน้า กระจกข้างกับกระจกหลัง  และการใช้ เท้ากับมือสำหรับการบังคับทิศทางให้รถมุ่งตรงไปบนเส้นทางอย่างที่ต้องการ  จนทำให้ ประสิทธิภาพในการขับขี่ลดลง สามารถนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้นเราจึงต้องให้ความสำคัญการขับรถตรงหน้าให้ดีที่สุดและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงใด ๆ ที่อาจจะนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุขึ้นอย่างไม่มีใครคาดคิด  ซึ่งจะส่งผลอันตรายต่อทั้งตนเอง และเพื่อนร่วมทางบนท้องถนน และจากข้อมูลเชิงสถิติทั่วโลกแล้ว

  จุดอับสายตา ของรถยนต์       รู้หรือไม่ว่าจุดบอดของรถยนต์เองก็ควรให้ความสำคัญไม่ต่างอะไรกับจุดบอดของรถบรรทุกเลย ที่เราได้เคนพูดถึงกันไปบ้างแล้ว แต่สำหรับวันนี้เราจะพูดกันถึงเรื่องของ   จุดอับสายตา หรือจุดบอดรถยนต์ ( Blind Spot ) ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญอีกหนึ่งปัจจัยและก็ยังเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นบนท้องถนนได้บ่อยครั้ง ในขณะผู้ขับขี่มีการเปลี่ยนเลน หรือเลี้ยวแซง หรือเกิดอุบัติเหตุจากการเฉี่ยวชนที่ด้านข้างหรือการชนท้ายได้ ดังนั้นในวันนี้  P.I.E Premium Modern Truck   เลยจะมาขอแบ่งปันเกร็ดความรู้เรื่องของจุดอับสายตาของรถยนต์ว่ามีจุดไหนกันบ้างที่ต้องให้การระมัดระวังทุกครั้งที่ขับรถ มาดูเลย จุดอับสายตา เสาเอ ( A-pillar blind spot)  เสาแรกที่ติดตั้งของกระจกคู่หน้านับจากหน้ารถที่เชื่อมต่อระหว่างหลังคาและตัวรถซ้ายและขวา มีความหนาและใหญ่มากพอในจังหวะที่มีการเลี้ยวรถ หรือกลับรถ เสาเออาจจะบดบังจนทำให้มองไม่เห็นรถคันอื่น ๆ ที่ขับสวนมาได้ จุดอับสายตา  จาก กระจกมองข้าง ( Side mirror blind spot) กระจกที่อยู่ใกล้กับผู้ขับขี่มีมุมมองที่ไม่มีความกว้างพอที่จะเห็นรถคันอื่นที่อยู่ด้

  มาสังเกตสัญญาณเตือนแบตเตอรี่เสื่อม     รู้หรือไม่ว่าแบตเตอรี่รถยนต์มีทำหน้าที่คอยเก็บและจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่อุปกรณ์เครื่องยนต์ให้มีการทำงานสามารถได้อย่างปกติ และคอยป้อนพลังงานให้กับอุปกรณ์สำหรับอำนวยความสะดวกหลาย ๆ อย่างของรถ  และ ยังทำหน้าที่ในการจ่ายกระแสไฟฟ้าแทนไดร์ชาร์จเมื่อไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยปกติแล้วไดร์ชาร์จจะที่มีทำหน้าที่เป็นเหมือนโรงงานผลิตไฟฟ้าสำหรับเครื่องยนต์      และแน่นอนว่าเมื่อ มีการใช้งาน แบตเตอรี่รถยนต์ ไปเป็นระยะเวลาสักพักต้องเกิดการเสื่อมสภาพขึ้นเป็นเรื่องธรรมดามาก ซึ่งเมื่อเสื่อมสภาพก็จะ ส่งผล ทำให้ ระบบชาร์จไฟมีการ ทำงานได้ ผิดปกติ ผู้ขับขี่จะต้องประสบพบเจอกับปัญหารถสตาร์ทไม่ติด หรือเกิดปัญหาขึ้นในระหว่างที่มีการเดินทาง อยู่ แต่จริง ๆ แล้วเราก็สามารถป้องกันไม่ให้เกิดปัญหากวนใจนี้ได้ด้วยการ ให้ความใส่ใจกับสัญญาณเตือน แบตเตอรี่เสื่อม ต่าง ๆ หรือการเกิดสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับรถอย่างเป็นสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็น อาการของเครื่องยนต์สตาร์ทที่เริ่มติดยากขึ้น ,  การส่องแสงสว่างของระบบไฟรอบคันรถและความดัง ของเสียง แตรรถเริ่มลดลงไปจากแต่ก่อน ,  รูปทรงข

 มีรถแบบไหนบ้างที่ควรระมัดระวัง ขับขี่เว้นระยะห่าง    มีข้อมูลที่ได้แจ้งว่าส่วนใหญ่แล้วการเกิดเหตุอุบัติเหตุหลายครั้ง ก็มีสาเหตุมาจากรถบรรทุก รถประเภทที่มีคันใหญ่ มักจะมีคู่กรณีจะเป็นรถคันเล็ก ๆ ทั้งรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ที่ขับตามหลังหรือขับอยู่ในบริเวณใกล้เคียง และอุบัติเหตุเองเป็นสิ่งที่จะเกิดเมื่อไหร่เราก็ไม่อาจจะสามารถคาดเดาได้ ทำให้เราจะต้องมีการขับขี่อย่างเว้นระยะห่างระหว่างคันจึงเป็นสิ่งสำคัญ และอีกหนึ่งในวิธีที่จะสามารถช่วยทำให้ลดกรณีอุบัติเหตุเหล่านี้ที่เกิดบนท้องถนนได้เป็นอย่างดี นั่นคือการหลีกเลี่ยงที่จะขับขี่เข้าใกล้รถบรรทุกหรือว่ารถคันใหญ่ ๆ แล้วจะมี รถแบบไหน บ้างที่ควรเว้นระยะห่างและหลีกเลี่ยงการขับตามให้มากที่สุด เพื่อเป็นการสร้างความปลอดภัยให้กับทั้งรถและคนขับ และเพื่อนร่วมท้องถนน  วันนี้  P.I.E Premium Modern Truck   ได้รวมมา แชร์กับ ทุกคนแล้ว รถบรรทุกวัตถุอันตราย  แม้ว่าถังบรรจุทั้งสารเคมีอันตราย น้ำมันเชื้อเพลิง และก๊าซต่าง ๆ นั้นจะมีความแน่นหนาและปลอดภัยในระดับหนึ่งก็ตาม แต่ถ้าหากมีการเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา ก็ทำให้อาจจะเกิดการรั่วไหลของวัตถุอันตรายต่าง ๆ ที่ได้ถูกบร

สัญญาณไฟเตือนหน้าปัดรถยนต์ มีหน้าที่อะไร และมีอะไรบ้างที่สำคัญ ควรรู้     สัญญาณไฟเตือนหน้าปัดรถยนต์ ที่จะมีการแสดงขึ้นในตอนที่เราบิดกุญแจเพื่อสตาร์ตเครื่องรถยนต์ติดแล้ว โดยจะมีหน้าที่แสดงขึ้นมาบนหน้าปัดรถเพื่อสแตนด์บายระบบต่าง ๆ ในการทำงานของรถ และหลังจากที่เครื่องยนต์ได้ติดแล้ว ไฟสัญลักษณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ก็จะดับลงไป แต่ถ้าหากว่าไฟบางดวงไม่ได้ดับลงไปและยังมีการติดค้างอยู่ ก็แสดงว่ามีที่มีการทำงานของระบบใดระบบหนึ่งของรถอยู่ หรืออาจจะกำลังมีความผิดปกติเกิดขึ้นของระบบใดระบบหนึ่งของรถ และส่วนในกรณีที่กำลังขับรถอยู่ ถ้าหากว่ามีไฟสัญลักษณ์ต่าง ๆ แสดงขึ้นมาโดยที่ไม่ได้มีการสั่งการหรือว่ากำลังใช้งานอยู่ ก็แสดงว่าเป็นการแจ้งเตือนให้ทราบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นมาอยู่ที่ระบบส่วนใดส่วนหนึ่งของตัวรถกำลัง    โดยสัญญาณไฟเตือนหน้าปัดรถยนต์ จะมีสีแตกต่างกัน   แบ่งออกเป็น  4  ระดับตามสี (ในบางรุ่นมีสีที่แตกต่างไปบ้าง) สัญลักษณ์หน้าปัดรถยนต์ไฟสีแดง หมายถึง     ตรวจสอบหาความผิดปกติตามสัญลักษณ์ที่ปรากฏในทันที สัญญาณไฟสีเหลือง หมายถึง  ตรวจสอบหรือปิดการใช้งาน  แม้ว่ายังสามารถใช้งานรถได้ปกติ  แต่ก็จำเป็นต้อง

เคล็ดลับป้องกันการหลับใน   รู้กันหรือไม่ว่าจริง ๆ แล้ว การหลับใน ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องผิวเผินเท่านั้นนะ แต่ยังเป็น เรื่องที่เราไม่สามารถที่จะมองข้ามได้เลยทีเดียว   เพราะว่าการที่เราวูบหลับในไปในขณะขับขี่รถไปเพียงแค่  3  ถึง  5  วินาที   รถก็จะวิ่งไปบนถนนโดยที่ปราศจากการควบคุมไปเป็นระยะทางกว่า  100  เมตรได้เลยทีเดียว  และแน่นอนเลยว่าทุก ๆ การเดินทางด้วยระยะทางที่ไกลและใช้ระยะเวลาที่นาน หรือแม้แต่การที่ขับฝ่ารถติดอยู่บนท้องถนนเป็นเวลานาน ๆ ก็ย่อมทำให้เกิดอาการเมื่อยล้า หรืออ่อนเพลียขึ้นได้อย่างที่เราไม่ทันจะได้รู้ตัว ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากเรายังฝืนขับขี่ต่อไปอาจจะทำให้เกิดอาการหลับในขึ้นในระหว่างที่ขับขี่อยู่ได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างอันตรายอย่างมาก เพราะสามารถทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้นได้ในเวลาอันรวดเร็วอย่างที่เราไม่ได้ทันได้ตั้งตัวเลย ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีการ เตรียมตัว ให้พร้อม ก่อนทุกครั้งที่ออกเดินทาง เพื่อป้องกันการหลับในนั่นเอง    เริ่มได้ตั้งแต่การเตรียมความพร้อมของคนขับขี่เอง ด้วยการนอนหลับ พักผ่อนให้เพียงพอ ครบถึง 8 ชั่วโมง หรืออย่างน้อย 6 ชั่วโมง  เป็นเรื่องจำเป็น